วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 เทยเที่ยวไทย

ฮัลโหลววววววววววว ทุกคนวันนี้จะมาแนะนำทุกๆคนให้รู้จักกับรายการ         "เทยเที่ยวไทย" ค่ะ เคยดูกันรึเปล่าเอ่ย  รายการนี้เป็นรายการที่เราชอบมากๆ เลย  ซึ่งเราได้มีโอกาสติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำท่วมกรุงเทพ เราจึงมีเวลาว่างนั่งเปิดโทรทัศน์ดู จนเจอกับรายการนี้ หลังจากนั้นก็ติดตามมาตลอดเลยค่ะ แต่บางคนอาจจะไม่รู้จักรายการนี้ งั้นเราไปทำความรู้จักกันเลยค่ะ


ภาพจาก www.onehd.net

     รายการ เทยเที่ยวไทย  ดูจากชื่อแล้วทุกคนน่าจะเดากันออก ว่าเป็นรายการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ที่มีกะเทย 3 องค์ เป็นพิธีกร
 ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 8 ตุลาคมพ.ศ. 2554ซึ่งพิธีกรแต่ละคนก็มี
บุคคลิกที่แตกต่างกันออกไป งั้นเรามารู้จักกันทีละคนเลยดีกว่าค่ะ

ภาพจาก instagram.kapook.com

      ป๋อมแป๋ม กะเทยหัวโปก เจ้าแม่ครีเอทีฟที่มีหน้าตาเหมือนกับมาดามมด  จนหลายคนสับสน เป็นพิธีกรข้ามเพศที่ไม่มีใครเหมือน
ไม่ได้แต่งหญิง ล่ำและหัวเกรียน เป็นคนฮาชนิดขี้แตกขี้แตน แถมความสามารถล้นมาก คร่ำหวอดทางด้านวงการโทรทัศน์มากว่า10 ปี เป็น producer รายการ GMM TV รวมทั้งเป็นผู้ริเริ่มรายการ
 5 Live อีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตา ป๋อมแป๋ม มากกว่าสมาชิกคนอื่นๆ เพราะ นอกจากนี้ ป๋อมแป๋มยังมีผลงานละคร และ มิวสิควิดีโออีกด้วย

 ผลงาน
  • ครีเอทีฟรายการ five live
  • พิธีกรและโปรดิวเซอร์รายการ เทยเที่ยวไทย
  • พิธีกรรายการแตกฟอง Live
  • ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการ สถานีโทรทัศน์แบงแชนแนล

ผลงานละคร
ผลงานภาพยนต์
  • ชอบกดไลค์ ใช่กดเลิฟ
  • เกรียนฟิกชั่น
  • The Library ห้องสมุดแห่งรัก
  • Present Perfect หากว่าย้อนเวลากลับไปได้

ผลงานมิวสิควีดีโอ

ภาพจาก tvshow.tlcthai.com

คนต่อมา ก็อตจิ กะเทยหน้าหมวย น้องเล็กสุดในรายการ ที่มีมีความฮาตั้งแต่หน้า และมีความสามารถพิเศษในการพูดภาษาจีน 
นางมีความฮาแรงแบบเปิดเผย ชอบแต่งตัวแต่งหน้า มีประสบการณ์ทางโทรทัศน์ เป็นคนเขียนบทสคริปต์ในรายการ 5 Live


ภาพจากwww.ryt9.com

       คนสุดท้าย กะเทยหน้าสวย พี่ใหญ่สุดในรายการ ที่มาพร้อมกับความรู้และความเรียบร้อย แต่แอบฮาเบาๆ แบบไม่โจ่งแจ้ง และเป็นผู้ริเริ่มรายการ    "เทยเที่ยวไทย" เป็น co-producer มีประสบการณ์ในวงการเพียบ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร เล่นมิวสิกวีดีโอ หรือสอนแต่งหน้า มีความอึดถึกทน มากกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้ ยังมีคำนำหน้าชื่อเป็น สิบโท อีกด้วย
    
     เห็นอย่างนี้  ก็อย่าพึ่งดูถูกกัน เพราะ ทั้ง 3 เทย เรียนจบจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลยทีเดียว
หลังจากแนะนำพิธีกรกันไปแล้ว เรามาทำความรู้จักรายการต่อกันดีกว่า

     "" รายการท่องเที่ยวแบบไลฟ์สไตล์ของกะเทย รายการรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยเกิดในประเทศไทยมาก่อน กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ในโซเชี่ยลมีเดีย อย่าง "Youtube"
     ด้วยความที่ "เทยเที่ยวไทย" เป็นรายการเชิงท่องเที่ยวที่ไม่หนักด้วยสาระจนเกินไป ตลอดรายการดำเนินไปด้วยเสียงหัวเราะ และแง่คิดแปลกๆ อีกมุมหนึ่งของบรรดาพิธีกรที่ตัวเป็นชาย แต่ใจเป็นหญิง (เรียกง่ายๆ ว่าตุ๊ด หรือกระเทย) จึงทำให้คนดู ติดรายการนี้งอมแงมไปเลย
      นอกจากพิธีกร ทั้ง 3 จะฮา แซ่บ มีสาระครบรสแล้ว ยังมีอีกช่วงหนึ่งของรายการ "เทยเที่ยวไทย" ที่ประทับใจเป็นที่สุด นั่นก็คือช่วง "Wanna Be On Top" เป็นช่วงที่พิธีกรแข่งขันกันถ่ายแบบโดยคอนเซปต์ในแต่ละอาทิตย์จะไม่เหมือน กัน และจะให้ผู้คนในสถานที่ที่ไปเที่ยว มาเป็นผู้ตัดสิน ช่วงนี้ทั้ง 3 คนจะแต่งองค์ทรงเครื่องแน่นสุดพลัง พร้อมโพสท่าแน่นสุดฤทธิ์ ทั้ง 3 คนจะมีท่าเด็ด ท่ายาก และเริ่ดได้ใจแค่ไหน เรามาดูภาพตัวอย่างกันเลยยย



เทย เที่ยว ไทย

คลิกชมภาพต่อไป
    


คลิกชมภาพต่อไป
คลิกชมภาพต่อไป

คลิกชมภาพต่อไป

            ซึ่งดูจากการโพสท่าของแต่ละคนแล้ว ไม่ธรรมดาเลย สามารถนำไปใช้ได้นะค่ะ เพื่อเพิ่มอลังการของรูปภาพ 55555
            นอกจากรายการเที่ยวไทยจะออกอากาศแล้ว ยังมีการจัดคอนเสิร์ตอีกด้วย ซึ่งแฟนคลับไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะเห็นความฮากันแบบตัวเป็นๆแล้ว ยังได้เห็นความสามารถด้านการเต้น และการร้องเพลงของแต่ละคนอีกด้วย  ซึ่งชื่อคอนเสิร์ตนั้น ก็มีความเก๋ไก๋แปลกตามากๆ ซึ่งอาจจะจำยากนิดนึง
คือ เทยแฟร์ เฟสติวัล คาร์นิวัล แห่แหนประจำปี

 เราไปดูตัวอย่างกันเลย



       








 เพลงโคฟเวอร์ก็มา




 หลังจากดูตัวอย่างกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าแต่ละคนมีความฮาแค่ไหน  ใครไม่ดูนี่ถือว่าพลาด ค่ะ
เพราะเป็นรายการที่มีความฮา มากกว่าสาระ เป็นรายการที่สร้างความสุขให้แก่ทุกๆคน  อย่าลืมติดตามชมกันนะค๊าาาาาาาาา
















              

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week3 : Social Network กับนักเรียนและสังคมไทย


อิทธิพล  Social Network  ต่อสังคมไทย
สวัสดีชาวบล็อกทุกคนค่ะ  วันนี้บทความที่จะนำเสนอนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนในปัจจุบัน นั่นก็คือ Social Network  พอได้ยินแล้วทุกคนก็คงจะร้องอ๋อออ กันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ  

ภาพจากsau5512410018.blogspot.com
 






   ปัจจุบันนั้นมีการใช้สื่อต่างๆมากมาย และสื่อประเภทใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลกับสังคมไทยอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ Social network ทุกคนคงสงสัยว่า Social network คืออะไร แล้วเข้ามีอิทธิพลอย่างไร อย่างที่ปรากฏในข่าวต่างๆ ในประเทศไทยพึ่งเคยเกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่สังคมไทยไม่เคยที่จะ เรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตหรือเปล่า แล้วมีวิธี แก้ไข ป้องกัน อิทธิพลของ Social network คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์  ระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยกว่าสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อ กลาง และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและ กันได้ 
     เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและ การใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้ เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเวปไซต์ ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา

11อันดับ Social Network ที่ได้รับความนิยม ซึ่งหลายๆคนในที่นี้ก็คงใช้งานเช่นกัน



ภาพจาก http://cdn.business2community.com/wp-content/uploads/2013/07/social.media_.jpg












                



1. Facebook เป็นโซเชียลยอดนิยมอันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้มากที่สุด ไอเดียสำหรับการใช้เฟซบุคในการทำงานก็คือ การสร้างกลุ่มสังคมเครือข่ายในที่ทำงาน เพื่อการทำงานร่วมกันเป็นทีม แลกเปลี่ยนไอเดียความคิดเห็นในเรื่องงาน การสอบถามปัญหาในงานกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การนำเสนอผลงานที่ต้องการฟีดแบค เป็นต้น





2. Twitter เหมาะสำหรับการรายงานสถานะความเคลื่อนไหวในการทำงาน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องที่ต้องการจะประกาศให้ทราบ แจ้งข่าวสารกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่ออัพเดทความเป็นไปให้ทราบเป็นระยะ ๆ เช่น เถ้าแก่จะตื่นมาด้วยความสบายใจเมื่อเห็นข้อความสั้น ๆ เหมือนพาดหัวข่าวใน timeline ตอนเช้าว่า งานที่มอบหมายให้ลูกจ้างกลับไปทำต่อที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามกะดึกที่เฝ้าโกดังรายงานความสงบเรียบร้อยทุก ๆ 20 นาีที คนขับรถส่งสินค้าไปถึงท่าเรือได้ทันเวลา เป็นต้น


3. Wiki ใช้สำหรับจัดการความรู้ขององค์กร หรือทำ KM นั่นเอง โดยเปิดพื้นที่ให้พนักงานเ้ข้าไปเขียนบันทึกจัดเก็บไว้เป็นคลังความรู้ของ องค์กร ให้คนทำงานได้สืบค้นและเรียนรู้ตามได้ ใช้เป็นคู่มือในการทำงานก็ได้ ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการแก้ไขปัญหา หรือตอบคำถามที่พบบ่อยก็ได้ พนักงานบางคนจะไม่มีวันถูกไล่ออกจากงาน เพราะเขาเป็นคนเขียน wiki ของที่ทำงาน เหมือนเป็นคัมภีร์ประจำออฟฟิศนั่นหมายความว่าความมั่นคงในงานของพนักงานก็ สูงขึ้นด้วย


4. Youtube การถ่ายทอดผ่านวิดีโอ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีมากขึ้นกว่าการอ่านผ่านตัวหนังสือ ดังนั้น ไอเดียในการนำยูทูปมาใช้ในการฝึกอบรมหรือการสาธิตวิธีการทำงานจึงเป็น ประโยชน์อย่างมาก ในการพัฒนาความรู้ทักษะของพนักงาน นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์พนักงานได้อีกด้วย เช่น เมื่อมีผู้สมัครงานที่น่าสนใจจะรับเข้าทำงาน ก็ให้ผู้สมัครแนะนำตัวและตอบคำถามตามหัวข้อที่แจ้งไว้ อัดวิดีโอส่งผ่านยูทูปมา ก็จะลดต้นทุนได้ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นต้น



5. Foursquare ใช้ในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ เหมาะสำหรับองค์กรที่มีสาขาหลายแห่ง และมีการตรวจเยี่ยมพื้นที่ เช่น เซลส์ที่ต้องไปพบลูกค้าต่างจังหวัด ก็เช็คอินเวลาไปถึงสถานที่นัดหมาย ทำให้ผู้จัดการหรือหัวหน้าทีมขายติดตามการเข้าพบลูกค้าตามแผนออกทริปได้ หรือ การตรวจประเมินโดยออดิเตอร์ที่ต้องไปออดิทพนักงานประจำสาขา หรือตามห้างร้านต่าง ๆ ก็สามารถบันทึกข้อมูลการตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง  ๆ ไว้ให้สำนักงานใหญ่ควบคุมดูแลหรือมอนิเตอร์ดูได้  เป็นต้น



6. Instagram เน้นการโพสต์รูปภาพ แชร์รูปภาพเป็นหลัก เอามาประยุกต์ใช้ในการรายงานด้วยภาพ เช่น ภาพกิจกรรมต่าง ๆ การสัมมนา การประกวด การมอบของรางวัล การทำงานที่เสี่ยงอันตราย ชิ้่นงานที่ได้คุณภาพ ตัวอย่างของเสีย กิจกรรมนอกสถานที่ การแข่งกีฬา การดูงาน การทำ 5ส. สภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ ฯลฯ หรือนำมาใช้เป็นภาพประกอบในการแจ้งเรื่องร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะไคเซ็น เป็นต้น




7. Blog เอาไว้ใช้เขียนบทความ หรือข้อความที่มีเนื้อหารายละเอียดมากหน่อย ซึ่งเฟซบุค หรือทวิตเตอร์มีข้อจำกัด สามารถเขียนรีวิว เขียนรายงาน เขียนบันทึกการทำงาน ข้อค้นพบ การแก้ไขปัญหาในงาน ซึ่ง
สามารถใส่ภาพประกอบได้ เป็นการบันทึกข้อมูลที่เป็นหลักฐานอ้างอิงที่ดีไว้สำหรับประเมินผลการ ปฏิบัติงาน เช่น หัวหน้าที่ได้อ่านไดอารี่การทำงานของพนักงานก็จะสามารถตรวจสอบการทำงานย้อน หลัง และประเมินผลงาน หรือดูพัฒนาการของลูกน้องได้

             








8.  Webboard เอาไว้ตั้งกระทู้ สอบถามปัญหาในงาน หรือเรื่องต่าง ๆ ที่พนักงานสนใจ เช่น สวัสดิการพนักงาน นโยบาย กฎระเบียบข้อบังคับ ฯลฯ หรือเอาไว้ใช้ประกาศตำแหน่งงานว่างในองค์กร หรือตั้งกระทู้สำหรับระดมสมอง ประชันไอเดีย รับฟัง    ข้อเสนอแนะ เป็นต้น




9. Google Docs นำมาใช้ในการจัดการไฟล์เอกสารร่วมกัน จะได้ไม่ยุ่งยากในการเซฟข้อมูลเป็นหลายไฟล์ สามารถแก้ไขเอกสารร่วมกันได้ แล้วเซฟเป็นไฟล์ที่อัพเดทล่าสุดเป็นไฟล์เดียว ทีมงานสามารถอัพโหลด ดาวโหลด ไฟล์งานไว้ในโฟลเดอร์กลางที่ทุกคนต้องใช้งานร่วมกัน นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้ทำแบบสอบถามออนไลน์ได้อีกด้วย ลดภาระการถ่ายเิอกสารแจกจ่ายไปยังทุกแผนก ซึ่งสิ้นเปลืองกระดาษแถมยังไม่ได้รับการตอบกลับอีกต่างหาก



10. Drop Box มีประโยชน์คือ เป็นฮาร์ดดิสก์สำรองออนไลน์ ไว้เก็บข้อมูลเผื่อฉุกเฉิน บางทีไปทำงานแต่ดันลืมหน่วยความจำสำรองไว้ที่บ้าน ก็สามารถดาวโหลดไฟล์ที่เก็บไว้ในดร็อปบ็อกซ์มาใช้งานได้อย่างทันท่วงที เป็นที่ฝากไฟล์ซึ่งสามารถแชร์กล่องเก็บข้อมูลให้ผู้อื่นใช้ร่วมกันได้ง่าย







11. Skype เอาไว้ใช้งานเวลามีประชุมทางไกล ออนไลน์แบบเห็นหน้ากันเรียลไทม์ ต้นทุนต่ำแต่ระดับปฏิสัมพันธ์สูง นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ในการนัดหมายสัมภาษณ์งานทางไกลได้ด้วย ทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ต้องมีอุปกรณ์และเวลาที่ตรงกัน จำลองสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้เหมือนเจอตัวจริงกันเป็นๆ


1. Facebook เป็นโซเชียลยอดนิยมอันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้มากที่สุด ไอเดียสำหรับการใช้เฟซบุคในการทำงานก็คือ การสร้างกลุ่มสังคมเครือข่ายในที่ทำงาน เพื่อการทำงานร่วมกันเป็นทีม แลกเปลี่ยนไอเดียความคิดเห็นในเรื่องงาน การสอบถามปัญหาในงานกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การนำเสนอผลงานที่ต้องการฟีดแบค เป็นต้น
2. Twitter เหมาะสำหรับการรายงานสถานะความเคลื่อนไหวในการทำงาน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องที่ต้องการจะประกาศให้ทราบ แจ้งข่าวสารกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่ออัพเดทความเป็นไปให้ทราบเป็นระยะ ๆ เช่น เถ้าแก่จะตื่นมาด้วยความสบายใจเมื่อเห็นข้อความสั้น ๆ เหมือนพาดหัวข่าวใน timeline ตอนเช้าว่า งานที่มอบหมายให้ลูกจ้างกลับไปทำต่อที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยามกะดึกที่เฝ้าโกดังรายงานความสงบเรียบร้อยทุก ๆ 20 นาีที คนขับรถส่งสินค้าไปถึงท่าเรือได้ทันเวลา เป็นต้น
3. Wiki ใช้สำหรับจัดการความรู้ขององค์กร หรือทำ KM นั่นเอง โดยเปิดพื้นที่ให้พนักงานเ้ข้าไปเขียนบันทึกจัดเก็บไว้เป็นคลังความรู้ของ องค์กร ให้คนทำงานได้สืบค้นและเรียนรู้ตามได้ ใช้เป็นคู่มือในการทำงานก็ได้ ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการแก้ไขปัญหา หรือตอบคำถามที่พบบ่อยก็ได้ พนักงานบางคนจะไม่มีวันถูกไล่ออกจากงาน เพราะเขาเป็นคนเขียน wiki ของที่ทำงาน เหมือนเป็นคัมภีร์ประจำออฟฟิศนั่นหมายความว่าความมั่นคงในงานของพนักงานก็ สูงขึ้นด้วย
4. Youtube การถ่ายทอดผ่านวิดีโอ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีมากขึ้นกว่าการอ่านผ่านตัวหนังสือ ดังนั้น ไอเดียในการนำยูทูปมาใช้ในการฝึกอบรมหรือการสาธิตวิธีการทำงานจึงเป็น ประโยชน์อย่างมาก ในการพัฒนาความรู้ทักษะของพนักงาน นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์พนักงานได้อีกด้วย เช่น เมื่อมีผู้สมัครงานที่น่าสนใจจะรับเข้าทำงาน ก็ให้ผู้สมัครแนะนำตัวและตอบคำถามตามหัวข้อที่แจ้งไว้ อัดวิดีโอส่งผ่านยูทูปมา ก็จะลดต้นทุนได้ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นต้น
5. Foursquare ใช้ในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ เหมาะสำหรับองค์กรที่มีสาขาหลายแห่ง และมีการตรวจเยี่ยมพื้นที่ เช่น เซลส์ที่ต้องไปพบลูกค้าต่างจังหวัด ก็เช็คอินเวลาไปถึงสถานที่นัดหมาย ทำให้ผู้จัดการหรือหัวหน้าทีมขายติดตามการเข้าพบลูกค้าตามแผนออกทริปได้ หรือ การตรวจประเมินโดยออดิเตอร์ที่ต้องไปออดิทพนักงานประจำสาขา หรือตามห้างร้านต่าง ๆ ก็สามารถบันทึกข้อมูลการตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง  ๆ ไว้ให้สำนักงานใหญ่ควบคุมดูแลหรือมอนิเตอร์ดูได้  เป็นต้น
6. Instagram เน้นการโพสต์รูปภาพ แชร์รูปภาพเป็นหลัก เอามาประยุกต์ใช้ในการรายงานด้วยภาพ เช่น ภาพกิจกรรมต่าง ๆ การสัมมนา การประกวด การมอบของรางวัล การทำงานที่เสี่ยงอันตราย ชิ้่นงานที่ได้คุณภาพ ตัวอย่างของเสีย กิจกรรมนอกสถานที่ การแข่งกีฬา การดูงาน การทำ 5ส. สภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ ฯลฯ หรือนำมาใช้เป็นภาพประกอบในการแจ้งเรื่องร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะไคเซ็น เป็นต้น
7. Blog เอาไว้ใช้เขียนบทความ หรือข้อความที่มีเนื้อหารายละเอียดมากหน่อย ซึ่งเฟซบุค หรือทวิตเตอร์มีข้อจำกัด สามารถเขียนรีวิว เขียนรายงาน เขียนบันทึกการทำงาน ข้อค้นพบ การแก้ไขปัญหาในงาน ซึ่งสามารถใส่ภาพประกอบได้ เป็นการบันทึกข้อมูลที่เป็นหลักฐานอ้างอิงที่ดีไว้สำหรับประเมินผลการ ปฏิบัติงาน เช่น หัวหน้าที่ได้อ่านไดอารี่การทำงานของพนักงานก็จะสามารถตรวจสอบการทำงานย้อน หลัง และประเมินผลงาน หรือดูพัฒนาการของลูกน้องได้
8.  Webboard เอาไว้ตั้งกระทู้ สอบถามปัญหาในงาน หรือเรื่องต่าง ๆ ที่พนักงานสนใจ เช่น สวัสดิการพนักงาน นโยบาย กฎระเบียบข้อบังคับ ฯลฯ หรือเอาไว้ใช้ประกาศตำแหน่งงานว่างในองค์กร หรือตั้งกระทู้สำหรับระดมสมอง ประชันไอเดีย รับฟังข้อเสนอแนะ เป็นต้น
9. Google Docs นำมาใช้ในการจัดการไฟล์เอกสารร่วมกัน จะได้ไม่ยุ่งยากในการเซฟข้อมูลเป็นหลายไฟล์ สามารถแก้ไขเอกสารร่วมกันได้ แล้วเซฟเป็นไฟล์ที่อัพเดทล่าสุดเป็นไฟล์เดียว ทีมงานสามารถอัพโหลด ดาวโหลด ไฟล์งานไว้ในโฟลเดอร์กลางที่ทุกคนต้องใช้งานร่วมกัน นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้ทำแบบสอบถามออนไลน์ได้อีกด้วย ลดภาระการถ่ายเิอกสารแจกจ่ายไปยังทุกแผนก ซึ่งสิ้นเปลืองกระดาษแถมยังไม่ได้รับการตอบกลับอีกต่างหาก
10. Drop Box มีประโยชน์คือ เป็นฮาร์ดดิสก์สำรองออนไลน์ ไว้เก็บข้อมูลเผื่อฉุกเฉิน บางทีไปทำงานแต่ดันลืมหน่วยความจำสำรองไว้ที่บ้าน ก็สามารถดาวโหลดไฟล์ที่เก็บไว้ในดร็อปบ็อกซ์มาใช้งานได้อย่างทันท่วงที เป็นที่ฝากไฟล์ซึ่งสามารถแชร์กล่องเก็บข้อมูลให้ผู้อื่นใช้ร่วมกันได้ง่าย
11. Skype เอาไว้ใช้งานเวลามีประชุมทางไกล ออนไลน์แบบเห็นหน้ากันเรียลไทม์ ต้นทุนต่ำแต่ระดับปฏิสัมพันธ์สูง นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ในการนัดหมายสัมภาษณ์งานทางไกลได้ด้วย ทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ต้องมีอุปกรณ์และเวลาที่ตรงกัน จำลองสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้เหมือนเจอตัวจริงกันเป็นๆ
- See more at: http://www.anantasook.com/social-media-and-effect-to-thai-society/#sthash.4h5pNhLf.dpuf


ข้อดี - ข้อเสีย ของ Social Network
      

       ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา มีใส่หน้ากาก กัดกันข้างหลัง มีนิสัยดี นิสัยชั่ว มีการสงสัย การระวังคนรอบข้าง มีหมดทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก แต่เราจะสามารถคัดกรองกลุ่มคนยังไงได้นั้น ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์ หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนดี สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2 ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network ก็เช่นเดียวกัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย



ข้อดีของ Social Network
-  สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
-  เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่าง ๆเพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
-  ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกแบะรวดเร็ว
-  เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดีโอต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
-  ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ บริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ
-  ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ ๆ



ข้อเสียของ Social Network
-  เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล

-  เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรืออาจนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย ตามที่มีข่าวในสื่อหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ
-  เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพ ต่าง ๆ ได้
-  ข้อมูลที่ต้องการกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้ 


               หลังจากได้อ่านบทความกันไปแล้ว ทุกคนคงจะมีความเข้าใจถึงอิทธิพลอันทรงพลังของ Social Network ซึ่งมีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะฉะนั้นเราควรจะคำนึงถึง เพื่อเป็นประโยชน์ ในอนาคตต่อไป

ที่่มา: http://www.anantasook.com/social-media-and-effect-to-thai-society
         http://prajuk52334223.blogspot.com/2011/12/social-network.html
         https://sites.google.com/site/socialnetwork0077/home/ch-xiththiphl-khxngsocial-network- ni-prathesthiy