อิทธิพล Social Network ต่อสังคมไทย
สวัสดีชาวบล็อกทุกคนค่ะ วันนี้บทความที่จะนำเสนอนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้คนในปัจจุบัน นั่นก็คือ Social Network พอได้ยินแล้วทุกคนก็คงจะร้องอ๋อออ กันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นไปอ่านกันเลยดีกว่าค่ะ
ปัจจุบันนั้นมีการใช้สื่อต่างๆมากมาย และสื่อประเภทใหม่ที่เข้ามามีอิทธิพลกับสังคมไทยอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ Social network ทุกคนคงสงสัยว่า Social network คืออะไร
แล้วเข้ามีอิทธิพลอย่างไร อย่างที่ปรากฏในข่าวต่างๆ
ในประเทศไทยพึ่งเคยเกิดขึ้นหรือเคยเกิดขึ้นมานานแล้วแต่สังคมไทยไม่เคยที่จะ
เรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตหรือเปล่า แล้วมีวิธี แก้ไข ป้องกัน
อิทธิพลของ Social network คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบที่มีคอมพิวเตอร์อย่างน้อยกว่าสองเครื่องเชื่อมต่อกันโดยใช้สื่อ กลาง
และสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและ
กันได้
เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและ
การใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้
เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเวปไซต์
ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา
11อันดับ Social Network ที่ได้รับความนิยม ซึ่งหลายๆคนในที่นี้ก็คงใช้งานเช่นกัน
1.
Facebook เป็นโซเชียลยอดนิยมอันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้มากที่สุด ไอเดียสำหรับการใช้เฟซบุคในการทำงานก็คือ
การสร้างกลุ่มสังคมเครือข่ายในที่ทำงาน เพื่อการทำงานร่วมกันเป็นทีม แลกเปลี่ยนไอเดียความคิดเห็นในเรื่องงาน
การสอบถามปัญหาในงานกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้ การนำเสนอผลงานที่ต้องการฟีดแบค
เป็นต้น
2.
Twitter เหมาะสำหรับการรายงานสถานะความเคลื่อนไหวในการทำงาน การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องที่ต้องการจะประกาศให้ทราบ
แจ้งข่าวสารกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่ออัพเดทความเป็นไปให้ทราบเป็นระยะ ๆ เช่น
เถ้าแก่จะตื่นมาด้วยความสบายใจเมื่อเห็นข้อความสั้น ๆ เหมือนพาดหัวข่าวใน timeline
ตอนเช้าว่า งานที่มอบหมายให้ลูกจ้างกลับไปทำต่อที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ยามกะดึกที่เฝ้าโกดังรายงานความสงบเรียบร้อยทุก ๆ 20 นาีที คนขับรถส่งสินค้าไปถึงท่าเรือได้ทันเวลา
เป็นต้น
3.
Wiki ใช้สำหรับจัดการความรู้ขององค์กร หรือทำ KM นั่นเอง โดยเปิดพื้นที่ให้พนักงานเ้ข้าไปเขียนบันทึกจัดเก็บไว้เป็นคลังความรู้ของ
องค์กร ให้คนทำงานได้สืบค้นและเรียนรู้ตามได้ ใช้เป็นคู่มือในการทำงานก็ได้ ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการแก้ไขปัญหา
หรือตอบคำถามที่พบบ่อยก็ได้ พนักงานบางคนจะไม่มีวันถูกไล่ออกจากงาน
เพราะเขาเป็นคนเขียน wiki ของที่ทำงาน เหมือนเป็นคัมภีร์ประจำออฟฟิศนั่นหมายความว่าความมั่นคงในงานของพนักงานก็
สูงขึ้นด้วย
4.
Youtube การถ่ายทอดผ่านวิดีโอ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีมากขึ้นกว่าการอ่านผ่านตัวหนังสือ
ดังนั้น ไอเดียในการนำยูทูปมาใช้ในการฝึกอบรมหรือการสาธิตวิธีการทำงานจึงเป็น ประโยชน์อย่างมาก
ในการพัฒนาความรู้ทักษะของพนักงาน นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์พนักงานได้อีกด้วย
เช่น เมื่อมีผู้สมัครงานที่น่าสนใจจะรับเข้าทำงาน ก็ให้ผู้สมัครแนะนำตัวและตอบคำถามตามหัวข้อที่แจ้งไว้
อัดวิดีโอส่งผ่านยูทูปมา ก็จะลดต้นทุนได้ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้สัมภาษณ์ และผู้ถูกสัมภาษณ์
เป็นต้น
5.
Foursquare ใช้ในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ เหมาะสำหรับองค์กรที่มีสาขาหลายแห่ง และมีการตรวจเยี่ยมพื้นที่
เช่น เซลส์ที่ต้องไปพบลูกค้าต่างจังหวัด ก็เช็คอินเวลาไปถึงสถานที่นัดหมาย ทำให้ผู้จัดการหรือหัวหน้าทีมขายติดตามการเข้าพบลูกค้าตามแผนออกทริปได้
หรือ การตรวจประเมินโดยออดิเตอร์ที่ต้องไปออดิทพนักงานประจำสาขา หรือตามห้างร้านต่าง
ๆ ก็สามารถบันทึกข้อมูลการตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ ไว้ให้สำนักงานใหญ่ควบคุมดูแลหรือมอนิเตอร์ดูได้
เป็นต้น
6.
Instagram เน้นการโพสต์รูปภาพ แชร์รูปภาพเป็นหลัก เอามาประยุกต์ใช้ในการรายงานด้วยภาพ
เช่น ภาพกิจกรรมต่าง ๆ การสัมมนา การประกวด การมอบของรางวัล
การทำงานที่เสี่ยงอันตราย ชิ้่นงานที่ได้คุณภาพ ตัวอย่างของเสีย กิจกรรมนอกสถานที่
การแข่งกีฬา การดูงาน การทำ 5ส. สภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ
ฯลฯ หรือนำมาใช้เป็นภาพประกอบในการแจ้งเรื่องร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะไคเซ็น เป็นต้น
7.
Blog เอาไว้ใช้เขียนบทความ หรือข้อความที่มีเนื้อหารายละเอียดมากหน่อย ซึ่งเฟซบุค
หรือทวิตเตอร์มีข้อจำกัด สามารถเขียนรีวิว เขียนรายงาน เขียนบันทึกการทำงาน
ข้อค้นพบ การแก้ไขปัญหาในงาน ซึ่ง
สามารถใส่ภาพประกอบได้ เป็นการบันทึกข้อมูลที่เป็นหลักฐานอ้างอิงที่ดีไว้สำหรับประเมินผลการ
ปฏิบัติงาน เช่น หัวหน้าที่ได้อ่านไดอารี่การทำงานของพนักงานก็จะสามารถตรวจสอบการทำงานย้อน
หลัง และประเมินผลงาน หรือดูพัฒนาการของลูกน้องได้
8.
Webboard เอาไว้ตั้งกระทู้ สอบถามปัญหาในงาน หรือเรื่องต่าง ๆ ที่พนักงานสนใจ เช่น สวัสดิการพนักงาน
นโยบาย กฎระเบียบข้อบังคับ ฯลฯ หรือเอาไว้ใช้ประกาศตำแหน่งงานว่างในองค์กร
หรือตั้งกระทู้สำหรับระดมสมอง ประชันไอเดีย รับฟัง ข้อเสนอแนะ เป็นต้น
9.
Google Docs นำมาใช้ในการจัดการไฟล์เอกสารร่วมกัน จะได้ไม่ยุ่งยากในการเซฟข้อมูลเป็นหลายไฟล์
สามารถแก้ไขเอกสารร่วมกันได้ แล้วเซฟเป็นไฟล์ที่อัพเดทล่าสุดเป็นไฟล์เดียว
ทีมงานสามารถอัพโหลด ดาวโหลด ไฟล์งานไว้ในโฟลเดอร์กลางที่ทุกคนต้องใช้งานร่วมกัน
นอกจากนี้ ยังสามารถนำมาใช้ทำแบบสอบถามออนไลน์ได้อีกด้วย ลดภาระการถ่ายเิอกสารแจกจ่ายไปยังทุกแผนก
ซึ่งสิ้นเปลืองกระดาษแถมยังไม่ได้รับการตอบกลับอีกต่างหาก
10.
Drop Box มีประโยชน์คือ เป็นฮาร์ดดิสก์สำรองออนไลน์ ไว้เก็บข้อมูลเผื่อฉุกเฉิน บางทีไปทำงานแต่ดันลืมหน่วยความจำสำรองไว้ที่บ้าน
ก็สามารถดาวโหลดไฟล์ที่เก็บไว้ในดร็อปบ็อกซ์มาใช้งานได้อย่างทันท่วงที เป็นที่ฝากไฟล์ซึ่งสามารถแชร์กล่องเก็บข้อมูลให้ผู้อื่นใช้ร่วมกันได้ง่าย
11.
Skype เอาไว้ใช้งานเวลามีประชุมทางไกล ออนไลน์แบบเห็นหน้ากันเรียลไทม์ ต้นทุนต่ำแต่ระดับปฏิสัมพันธ์สูง
นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ในการนัดหมายสัมภาษณ์งานทางไกลได้ด้วย ทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ต้องมีอุปกรณ์และเวลาที่ตรงกัน
จำลองสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้เหมือนเจอตัวจริงกันเป็นๆ
1. Facebook
เป็นโซเชียลยอดนิยมอันดับหนึ่งที่มีผู้ใช้มากที่สุด
ไอเดียสำหรับการใช้เฟซบุคในการทำงานก็คือ
การสร้างกลุ่มสังคมเครือข่ายในที่ทำงาน เพื่อการทำงานร่วมกันเป็นทีม
แลกเปลี่ยนไอเดียความคิดเห็นในเรื่องงาน
การสอบถามปัญหาในงานกับเพื่อนร่วมงานหรือผู้รู้
การนำเสนอผลงานที่ต้องการฟีดแบค เป็นต้น
2. Twitter
เหมาะสำหรับการรายงานสถานะความเคลื่อนไหวในการทำงาน
การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องที่ต้องการจะประกาศให้ทราบ
แจ้งข่าวสารกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ เพื่ออัพเดทความเป็นไปให้ทราบเป็นระยะ ๆ
เช่น เถ้าแก่จะตื่นมาด้วยความสบายใจเมื่อเห็นข้อความสั้น ๆ
เหมือนพาดหัวข่าวใน timeline ตอนเช้าว่า
งานที่มอบหมายให้ลูกจ้างกลับไปทำต่อที่บ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ยามกะดึกที่เฝ้าโกดังรายงานความสงบเรียบร้อยทุก ๆ 20 นาีที
คนขับรถส่งสินค้าไปถึงท่าเรือได้ทันเวลา เป็นต้น
3. Wiki
ใช้สำหรับจัดการความรู้ขององค์กร หรือทำ KM นั่นเอง
โดยเปิดพื้นที่ให้พนักงานเ้ข้าไปเขียนบันทึกจัดเก็บไว้เป็นคลังความรู้ของ
องค์กร ให้คนทำงานได้สืบค้นและเรียนรู้ตามได้ ใช้เป็นคู่มือในการทำงานก็ได้
ใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการแก้ไขปัญหา หรือตอบคำถามที่พบบ่อยก็ได้
พนักงานบางคนจะไม่มีวันถูกไล่ออกจากงาน เพราะเขาเป็นคนเขียน wiki
ของที่ทำงาน
เหมือนเป็นคัมภีร์ประจำออฟฟิศนั่นหมายความว่าความมั่นคงในงานของพนักงานก็
สูงขึ้นด้วย
4. Youtube
การถ่ายทอดผ่านวิดีโอ
เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจได้ดีมากขึ้นกว่าการอ่านผ่านตัวหนังสือ
ดังนั้น
ไอเดียในการนำยูทูปมาใช้ในการฝึกอบรมหรือการสาธิตวิธีการทำงานจึงเป็น
ประโยชน์อย่างมาก ในการพัฒนาความรู้ทักษะของพนักงาน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสัมภาษณ์พนักงานได้อีกด้วย เช่น
เมื่อมีผู้สมัครงานที่น่าสนใจจะรับเข้าทำงาน
ก็ให้ผู้สมัครแนะนำตัวและตอบคำถามตามหัวข้อที่แจ้งไว้
อัดวิดีโอส่งผ่านยูทูปมา ก็จะลดต้นทุนได้ทั้งสองฝ่าย ทั้งผู้สัมภาษณ์
และผู้ถูกสัมภาษณ์ เป็นต้น
5. Foursquare
ใช้ในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ เหมาะสำหรับองค์กรที่มีสาขาหลายแห่ง
และมีการตรวจเยี่ยมพื้นที่ เช่น เซลส์ที่ต้องไปพบลูกค้าต่างจังหวัด
ก็เช็คอินเวลาไปถึงสถานที่นัดหมาย
ทำให้ผู้จัดการหรือหัวหน้าทีมขายติดตามการเข้าพบลูกค้าตามแผนออกทริปได้
หรือ การตรวจประเมินโดยออดิเตอร์ที่ต้องไปออดิทพนักงานประจำสาขา
หรือตามห้างร้านต่าง ๆ ก็สามารถบันทึกข้อมูลการตรวจเยี่ยมในพื้นที่ต่าง ๆ
ไว้ให้สำนักงานใหญ่ควบคุมดูแลหรือมอนิเตอร์ดูได้ เป็นต้น
6. Instagram
เน้นการโพสต์รูปภาพ แชร์รูปภาพเป็นหลัก
เอามาประยุกต์ใช้ในการรายงานด้วยภาพ เช่น ภาพกิจกรรมต่าง ๆ การสัมมนา
การประกวด การมอบของรางวัล การทำงานที่เสี่ยงอันตราย ชิ้่นงานที่ได้คุณภาพ
ตัวอย่างของเสีย กิจกรรมนอกสถานที่ การแข่งกีฬา การดูงาน การทำ 5ส.
สภาพแวดล้อมในสถานประกอบการ ฯลฯ
หรือนำมาใช้เป็นภาพประกอบในการแจ้งเรื่องร้องเรียน หรือข้อเสนอแนะไคเซ็น
เป็นต้น
7. Blog
เอาไว้ใช้เขียนบทความ หรือข้อความที่มีเนื้อหารายละเอียดมากหน่อย
ซึ่งเฟซบุค หรือทวิตเตอร์มีข้อจำกัด สามารถเขียนรีวิว เขียนรายงาน
เขียนบันทึกการทำงาน ข้อค้นพบ การแก้ไขปัญหาในงาน
ซึ่งสามารถใส่ภาพประกอบได้
เป็นการบันทึกข้อมูลที่เป็นหลักฐานอ้างอิงที่ดีไว้สำหรับประเมินผลการ
ปฏิบัติงาน เช่น
หัวหน้าที่ได้อ่านไดอารี่การทำงานของพนักงานก็จะสามารถตรวจสอบการทำงานย้อน
หลัง และประเมินผลงาน หรือดูพัฒนาการของลูกน้องได้
8. Webboard
เอาไว้ตั้งกระทู้ สอบถามปัญหาในงาน หรือเรื่องต่าง ๆ ที่พนักงานสนใจ เช่น
สวัสดิการพนักงาน นโยบาย กฎระเบียบข้อบังคับ ฯลฯ
หรือเอาไว้ใช้ประกาศตำแหน่งงานว่างในองค์กร หรือตั้งกระทู้สำหรับระดมสมอง
ประชันไอเดีย รับฟังข้อเสนอแนะ เป็นต้น
9. Google Docs
นำมาใช้ในการจัดการไฟล์เอกสารร่วมกัน
จะได้ไม่ยุ่งยากในการเซฟข้อมูลเป็นหลายไฟล์ สามารถแก้ไขเอกสารร่วมกันได้
แล้วเซฟเป็นไฟล์ที่อัพเดทล่าสุดเป็นไฟล์เดียว ทีมงานสามารถอัพโหลด ดาวโหลด
ไฟล์งานไว้ในโฟลเดอร์กลางที่ทุกคนต้องใช้งานร่วมกัน นอกจากนี้
ยังสามารถนำมาใช้ทำแบบสอบถามออนไลน์ได้อีกด้วย
ลดภาระการถ่ายเิอกสารแจกจ่ายไปยังทุกแผนก
ซึ่งสิ้นเปลืองกระดาษแถมยังไม่ได้รับการตอบกลับอีกต่างหาก
10. Drop Box
มีประโยชน์คือ เป็นฮาร์ดดิสก์สำรองออนไลน์ ไว้เก็บข้อมูลเผื่อฉุกเฉิน
บางทีไปทำงานแต่ดันลืมหน่วยความจำสำรองไว้ที่บ้าน
ก็สามารถดาวโหลดไฟล์ที่เก็บไว้ในดร็อปบ็อกซ์มาใช้งานได้อย่างทันท่วงที
เป็นที่ฝากไฟล์ซึ่งสามารถแชร์กล่องเก็บข้อมูลให้ผู้อื่นใช้ร่วมกันได้ง่าย
11. Skype
เอาไว้ใช้งานเวลามีประชุมทางไกล ออนไลน์แบบเห็นหน้ากันเรียลไทม์
ต้นทุนต่ำแต่ระดับปฏิสัมพันธ์สูง
นอกจากนี้ยังประยุกต์ใช้ในการนัดหมายสัมภาษณ์งานทางไกลได้ด้วย
ทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์ต้องมีอุปกรณ์และเวลาที่ตรงกัน
จำลองสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมให้เหมือนเจอตัวจริงกันเป็นๆ
- See more at: http://www.anantasook.com/social-media-and-effect-to-thai-society/#sthash.4h5pNhLf.dpuf
ข้อดี - ข้อเสีย ของ Social Network
ในโลกไซเบอร์ก็เหมือนสังคมรอบข้างตัวเรา มีใส่หน้ากาก
กัดกันข้างหลัง มีนิสัยดี นิสัยชั่ว มีการสงสัย การระวังคนรอบข้าง
มีหมดทุกอย่าง เพราะมันเป็นธรรมดาของโลก
แต่เราจะสามารถคัดกรองกลุ่มคนยังไงได้นั้น ก็ต้องใช้สติปัญญาในการวิเคราะห์
หรือพิจารณา คนที่เราคิดว่าน่าจะเป็นคนดี
สักวันหนึ่งอาจจะกลับกลายเป็นคนชั่วไปก็เป็นได้
ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอน เพียงแต่เราจะมองโลกในแง่บวก หรือแง่ลบ
เท่านั้นเอง เช่นเดียวกับเหรียญที่มี 2
ด้านเสมอก็เฉกเช่นเดียวกับคนที่มีทั้งคนดีและคนชั่ว และใน Social Network
ก็เช่นเดียวกัน ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
ข้อดีของ Social Network
- สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในสิ่งที่สนใจร่วมกันได้
- เป็นคลังข้อมูลความรู้ขนาดย่อมเพราะเราสามารถเสนอและแสดงความคิดเห็น
แลกเปลี่ยนความรู้ หรือตั้งคำถามในเรื่องต่าง
ๆเพื่อให้บุคคลอื่นที่สนใจหรือมีคำตอบได้ช่วยกันตอบ
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสารกับคนอื่น สะดวกแบะรวดเร็ว
- เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง เช่น งานเขียน รูปภาพ วีดีโอต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้ามารับชมและแสดงความคิดเห็น
- ใช้เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือ บริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ
- ช่วยสร้างผลงานและรายได้ให้แก่ผู้ใช้งาน เกิดการจ้างงานแบบใหม่ ๆ
ข้อเสียของ Social Network
- เว็บไซต์ให้บริการบางแห่งอาจจะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวมากเกินไป หากผู้ใช้บริการไม่ระมัดระวังในการกรอกข้อมูล
- เป็นสังคมออนไลน์ที่กว้าง หากผู้ใช้รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือขาดวิจารณญาณ
อาจโดนหลอกลวงผ่านอินเทอร์เน็ต หรืออาจนัดเจอกันเพื่อจุดประสงค์ร้าย
ตามที่มีข่าวในสื่อหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ
- เป็นช่องทางในการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้าง เพราะ
Social Network Service เป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงาน รูปภาพ ต่าง ๆ ได้
- ข้อมูลที่ต้องการกรอกเพื่อสมัครสมาชิกและแสดงบนเว็บไซต์ในรูปแบบ Social
Network ยากแก่การตรวจสอบว่าจริงหรือไม่
ดังนั้นอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับเว็บไซต์ที่กำหนดอายุการสมัครสมาชิก
หรือการถูกหลอกโดยบุคคลที่ไม่มีตัวตนได้
หลังจากได้อ่านบทความกันไปแล้ว ทุกคนคงจะมีความเข้าใจถึงอิทธิพลอันทรงพลังของ Social Network ซึ่งมีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะฉะนั้นเราควรจะคำนึงถึง เพื่อเป็นประโยชน์ ในอนาคตต่อไป
ที่่มา:
http://www.anantasook.com/social-media-and-effect-to-thai-society
http://prajuk52334223.blogspot.com/2011/12/social-network.html
https://sites.google.com/site/socialnetwork0077/home/ch-xiththiphl-khxngsocial-network- ni-prathesthiy