วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 2 : Review ที่พักและสถานที่ท่องเที่ยว ณ กาญจนบุรี

Review 2วัน 1คืน ที่ Riverkwai Jungle View resort  กาญจนบุรี
      สวัสดีทุกๆ คนที่กำลังอ่านบล็อกอยู่นะค่ะ ก่อนอื่นต้องบอกเลยบางคนอาจจะไม่คุ้นกับชื่อเสียงของรีสอร์ทนี้ ซึ่งตอนแรกคุณแม่ก็ได้ติดต่อ รีสอร์ทที่มีรีวิวในพันทิป แต่ปรากฏว่าทุกรีสอร์ทเต็มหมดเลย เราก็เลยต้องหาที่พักจากในเน็ต จนมาเจอที่พักนี้  ซึ่งถือว่าไม่ผิดหวังที่เลือกที่นี้   หลังจากเกริ่นจนตัวหนังสือเยอะแยะแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าาาา >.<

             คำเตือน ทริปนี้เดินทางไปกับครอบครัว อาจจะไม่ค่อยมีภาพวิวที่ถูกใจซักเท่าไหร่

      
      Day 1  วันนี้ได้ออกเดินทางจากกรุงเทพ ตั้งแต่ 6 โมงเช้าเลยทีเดียว ก็กินนอนในรถเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมายเร็วๆ  สถานที่แรกที่ไปถึง(ประมาณ 8 โมงเช้า)ทุกคนน่าจะรู้จักกันดี คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว
 





             เช้าวันนี้อากาศดี ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดแรงมากกก  เราแวะเดินเก็บภาพระหว่างทางไปเรื่อย ๆ จนถึงกลางสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแคว  ก็ต้องเดินกลับเพราะทนความร้อนกันไม่ไหวจริงๆ  จึงขึ้นรถออกเดินทาง ไปยังสถานที่ต่อไป คือ

         ถ้ำกระแซ ซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่โด่งดัง และเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี เพราะถือว่าเป็นจุดที่สวยที่สุด และอันตรายที่สุดของเส้นทางรถไฟ  ซึ่งวิวสองข้างทางก่อนจะถึงถ้ำกระแซก็สวยงามไม่แพ้กัน
 



          
           นั่งรถมาซักพักก็ถึงสถานีรถไฟ ถ้ำกระแซ




            ซึ่งใครที่ขับรถยนต์มา ต้องจอดรถ แล้วเดินไปตามทางรถไฟ เพื่อไปถ้ำกระแซและถ่ายรูปบริเวณทางรถไฟสายมรณะ แถวนี้อากาศจะชื้นๆ เพราะขนาบข้างด้วยภูเขา และดงไม้






             ในที่สุดก็ถึงแล้วววววว  ถ้ำกระแซ




              
               ภายในถ้ำก็จะมีพระพุทธรูปให้สักการะ  


                  

             จากถ้ำ เราเดินเท้า ต่อไปตามรางรถไฟ เพื่อไปเก็บภาพ ทางรถไฟสายมรณะข้างหุบเขาอันสูงชัน อย่างที่ตั้งใจ  ซึ่งทางเดินเล็กมาก  ต้องเดินด้วยความระมัดระวัง และต้องคอยหลบผู้คนที่เดินสวนทาง แอบใจสั่นนิดๆ เลยทีเดียว
        


              




              หลังจากเก็บภาพเป็นที่ระลึกจนพอใจ  ก็ถึงเวลาเดินทางไปรีสอร์ท ซึ่งแนะนำให้เราแวะรับประทานมื้อกลางวันที่ครัวข้าวหอม ก่อนเข้าที่พัก บรรยากาศในร้านค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติ  มีลำธารไหลผ่าน  ซึ่งน้ำใสสะอาด เย็นสดชื่น น่าแช่เล่นมาก แต่ก็ต้องอดใจไว้  ไปสั่งอาหารดีกว่า





           


         รายการที่ทางร้านแนะนำก็จะเป็น ปลาแรดทอดน้ำปลา  ต้มยำปลาคัง  เห็ดผัดน้ำมันหอย เป็นต้น






            
                     ระหว่างรออาหาร ก็มีน้องแมวมาต้อนรับ มาเดินวนเวียนไปมา ให้ถ่ายรูปเล่น เป็นมิตรสุดๆ






      (พออาหารมาถึง ทุกคนก็ก้มหน้าก้มตา ทานอย่างรวดเร็ว เลยไม่ทันได้ถ่ายภาพอาหารมาอวดกัน)
  

          หลังจากเช็คบิล เราก็ออกเดินทางไปยังที่พัก   ซึ่งค่อนข้างจะลึกจากถนนใหญ่  แนะนำใครที่อยากจะออกกำลังกายให้ เตรียมจักรยานมาปั่นด้วย เพราะทางเรียบสะดวกมาก







           
         ในที่สุดก็ถึงที่พักแล้ว เย้ !!!  รีสอร์ทจะแบ่งเป็น 2 เฟส เฟส1กับ เฟส2  ทางเข้าจะแยกกันอย่างชัดเจน 
เพราะฉะนั้นถ้าเราจะไปเล่นน้ำที่เฟส 1 เราต้องรอเรือจากเฟส1 มารับ   ซึ่งถ้าใครอยากจะพักผ่อนแบบส่วนตัว ให้พักที่เฟส 2 เพราะคนจะไม่พลุกพล่าน เหมือนเฟส 1  เราได้เข้าพักที่เฟส 2 ต้องจอดรถไว้ข้างบนแล้วเดินลงไปยังที่พัก ซึ่งทางเดินจะชันมาก ต้องเดินช้าๆ ไม่งั้นอาจจจะตีลังกาได้  ที่รีสอร์ทจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ของทุกค่าย  แต่จะมี wifi ให้บริการ










      ห้องพักที่นี่จะมีแอร์ทุกห้อง เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องอากาศร้อน  นอกจากนี้ภายในห้องน้ำยังมีเครื่องทำน้ำอุ่น สบู่และแชมพูสระผมบริการให้







           

            เวลา 15.00 น เรามีนัดกับแพ ซึ่งจะพาเราล่องขึ้นไปยังต้นน้ำ และปล่อยให้ว่ายน้ำกลับที่พัก ซึ่งห่างจากที่พัก ประมาณ 3 กิโลเมตร  ระหว่างรอแพมารับ ก็ต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย 









           ถ่ายรูปนอนเล่นไปสักพัก แพก็มารับ  เราจะเล่นหรือไม่เล่นก็ได้  แต่ถ้าไม่เล่นก็ไม่คุ้มค่าพัก (ลืมบอกว่าค่าที่พักคิดเป็นรายหัวรวมอาหาร2มื้อ กับล่องแพ 1 รอบ)





                       ต้องแชะรูปรวมซักหน่อยให้เป็นพิธี









         สำหรับใครว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่ต้องห่วง  เพราะทุกคนที่จะลงเล่นน้ำต้องใส่ชูชีพทุกคน นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ลงน้ำไปคอยดูแลและบอกเส้นทางที่ปลอดภัย เนื่องจากน้ำไหลค่อนข้างแรง และ มีแก่งหิน เราจึงต้องระมัดระวัง
ในการเล่น









        ถึงเวลาที่ต้องลงน้ำกันแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม

                                     นับ    3   2     1   ....................................   ตู้มมมมมมมม!!!!!!!









          
          หลังจากนั้นก็ไม่สามารถจะบันทึกภาพเก็บไว้ได้  T^T    พอลงไปน้ำเย็นมาก บางจุดน้ำตื้นจนเท้าแตะพึ้น แต่ก็ไม่กล้ายืน เพราะน้ำไหลแรง  นอนลอยคอ ว่ายกรรเชียง ไปซักพัก ก็ถึงที่พัก  ตอนใกล้จะถึงที่พักเราต้องพยายามว่ายชิดริมที่พัก จะมีเชือกให้เกาะไว้  ถ้าเกาะไม่ทันก็อาจจะลอยลิ่วไปกับน้ำเลย 
         จุดที่เราขึ้นจากน้ำนั้นจะเป็นที่พัก เฟส1 ถ้าจะกลับเฟส 2 ต้องติดแพไปต่อ   ก็เลยให้สมาชิกครอบครัวบางส่วน กลับไปยังที่พักก่อน เพราะยังรู้สึกว่าเล่นน้ำไม่หนำใจ    ในเฟส1 นั้นจะมีสระน้ำที่มีตะแกรงเหล็กกั้นให้สามารถเล่นน้ำได้  เพราะฉะนั้นใครที่ไม่กล้าลงเล่นน้ำ ก็สามารถมาเล่นในสระได้




         
พอเล่นเสร็จก็นั่งรอเรือมารับกลับเฟส 2  แต่ระหว่างรอเรือ ทางที่พักจะมีน้ำสมุนไพรอุ่นๆ หรือเครื่องดื่มต่างๆ ให้บริการฟรี สามารถเติมเองได้เลย






        จากนั้นก็ถึงเวลากลับห้องพัก  อาบน้ำแต่งตัวพร้อมจะรับประทานอาหารเย็น  ซึ่งอาหารที่ทางที่พักจัดให้จะเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เติมไม่อั้น ใครกินจุก็คุ้มสุดๆไปเลย






                 หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเดินเล่นย่อยอาหารกันบ้าง เพื่อที่จะได้เก็บบรรยากาศยามค่ำคืนให้คุ้มค่า






              วันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เลยแอบหลอนนิดๆ  แต่ก็สวยงามไปอีกแบบ
 






                    บรรยากาศน่าตั้งวงเล่นไพ่สุดๆ








                 Day 2 ตื่นเช้าอีกเช่นเคย





            หลังจากรับประทานอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อย  ก็ถึงเวลาเก็บกระเป๋า ไปเที่ยวกัน ต่อ






             เมื่อออกจากที่พักก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยัง พุน้ำร้อนหินดาด








         ใครที่อยากผ่อนคลาย สามารถลงแช่น้ำร้อนได้  โดยมีค่าธรรมเนียม ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท   นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียนิยมแวะมาแช่น้ำที่นี่กันเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ไม่ควรพลาด เพราะบ่อน้ำร้อนทางธรรมชาติ มีแร่ธาตุ และช่วยบำบัดรักษาโรคต่างๆ ได้









           ที่เที่ยวสุดท้ายที่เราจะไปกันในทริปนี้ คือ อุทธยานแห่งชาติเอราวัณ ซึ่งหลายๆคนน่าจะเคยเห็นกันมาบ้าง ในฉากละครต่างๆ ที่มาถ่ายทำที่นี่










          หลังจากเล่นน้ำตกเอราวัณเสร็จ ท้องเริ่มหิว จึงแวะรับประทานอาหารกลางวัน ที่ อิงผูผารีสอร์ท  ซึ่งมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม อาหารอร่อย มีของหวานหวานให้เลือกมากมาย








           หลังจากอิ่มตาอิ่มใจกับมื้อกลางวัน ก็ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพ  โดยใช้เวลาประมาณ  3 ชั่วโมง ก็ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ


ปล. หวังว่ารีวิวนี้ จะทำให้คุณได้รู้จัก Riverkwai Jungle view resort และสถานที่ท่องเที่ยว บางส่วนในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีมากมายและรอพวกเราให้กลับไปพักผ่อนและทำความรู้จักมากยิ่งขึ้นไปอีก




















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น